Translate

The World's Scariest Places Pt.3 End ( สถานที่ขนหัวลุกสุดสยองจากทั่วโลก ภาคที่ 3 จบ )


Stanley Hotel, Colorado USA



โรงแรม เดอะ แสตนลีย์ ในพาร์ค เอสเตส รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ถูกจัดว่า เป็นโรงแรมที่มีผีชุกชุมที่สุดติดอันดับต้นๆของโลก โรงแรมนี้สร้างขึ้นโดยนาย เอฟ.โอ.แสตนลีย์และภรรยาของเขา ฟลอร่า นายแสตนลีย์เป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งชาวบอสตันที่ร่ำรวยอย่างมหาศาลจาก ธุรกิจเครื่องจักรไอน้ำยี่ห้อสแตนลี่ย์ เขาได้ใช้ชีวิตปั่นปลายสุดท้ายในการสร้างโรงแรมด้วยเงินทั้งหมดของเขาที่สวน สวยร่มรื่นแถบเอสเตส ปาร์ค ราวปี 1903 จนสร้างเสร็จปี 1909 แล้วก็กลายเป็นสถานที่ตากอากาศติดอันดับอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยความร่มรื่น บรรยากาศสดชื่นเขียวขจี อากาศก็บริสุทธิ์ ซ้ำยังใกล้อุทยานอีกต่างหาก ผู้คนเลยหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ ....



หาก แต่หลังจากที่ นายแสตนลีย์และภรรยาถึงแก่กรรม ก็มีรายงานมาว่ามีการพบเห็นนาย แสตนลีย์และภรรยาเดินไปทั่วโรงแรม โดยมีคนเห็นผีแสตนลีย์เดินอยู่ที่ล็อบบี้ บาร์ และห้องเล่นบิลเลียด ขณะที่เชื่อกันว่าวิญญาณของฟลอร่านั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องดนตรี เพราะแขกมักจะได้ยินเสียงบรรเลงเพลงมาจากห้องนั้น และเมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปดู ก็เห็นเหมือนแป้นกดบนเปียโนกำลังกระเด้งขึ้นๆ ลงๆ เหมือนมีคนเล่น แต่ว่า ไม่มีใครเลย และพอเข้าไปใกล้ๆ แหม๋...ยังจะกล้าไปดูใกล้ๆ อีกนะครัช.... ดนตรีก็หยุดลงอย่างฉับพลัน!!

นี่คือ หนึ่งในภาพที่เชื่อว่าถ่ายติดบางสิ่งมาโดยไม่ตั้งใจ....



นอก จากนี้ยังเสียงเด็กที่เล่นกันตรงกลางโถงทางเดิน จนแขกนอนไม่หลับทั้งคืน ครั้งหนึ่งสตีเฟ่น คิง นักเขียนนวนิยายสยองขวัญชื่อดังได้เข้ามาพักที่นี่ ห้องที่คิงพักคือห้อง 217 (ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง The Shining) และเป็นห้องที่โด่งดังที่สุดของโรงแรมพักนั่นเองเขาได้ฝันร้าย โดยฝันว่าลูกชายวันสามขวบของเขาก็วิ่งเข้ามาในห้อง หน้าตาตื่น กรีดร้องเพราะโดนอะไรบางอย่างไล่ล่าตามหลังมา เขาตกใจตื่นเหงื่อท่วมตัว และเดินมาสูบบุหรี่และเขาก็เห็นเทือกเขาร็อกกี้ที่หน้าต่าง แล้วแล้วนิยายเรื่อง The Shining ก็ถือกำเนิดในที่สุด.....





ภาพยนตร์ เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง” (The Shining) ของแสตนลีย์ คูบริค ที่สร้างจากนิยายอันดับ 3 ของ สตีเผ่น คิง ตอนกลางคืนจะได้อารมณ์มาก โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงถึงเรื่องราวของครอบครัวทอร์เรนซ์ ที่ประกอบไปด้วย แจ๊ค นักเขียนผู้เคยติดเหล้าและมีประวัติทำร้ายลูกตัวเอง, เวนดี้ ภรรยาที่อ่อนโยน และ แดนนี่ ลูกชายที่มีสัมผัสพิเศษถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งตัวแจ๊คพยายามเป็นสามีที่ดี เขาได้งานทำเป็นยามเฝ้าโรงแรมโอเวอร์ลุคยามไร้ผู้คน และที่นั้นเขาก็ได้พบว่าโรงแรมที่เขาเป็นยามแห่งนี้เป็นโรงแรมผีดุ!!


ย้อน ไปครั้งที่คิงกำลังจะแต่งนิยายนี้เขากำลังโด่งดังจากนิยายสองเรื่องก่อนหน้า เขาเลยวางแผนจะแต่งนิยายที่มีฉากหลังน่ากลัวหน่อย เขาเลยออกเดินทางพร้อมครอบครัวซุ่มไปซุ่มมาจนหยุดโรงแรมแห่งนี้ และก็ก็ประทับใจโรงแรมสแตนลี่ย์ เพราะชื่อเสียงของมันที่ว่า "เป็นหนึ่งในที่พักที่ติดอันดับเรื่องผีชุกชุมมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา!” และเป็นโรงแรมเดียวกันกับโรงแรมในภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ไชน์นิ่ง” .....



นี่คือภาพที่โด่งดังมากๆ ที่คาดว่าจะถ่ายติดบางสิ่งมา....



ครั้งหนึ่งในชีวิตที่คุณจะหลงเข้าไปในดงผี และ ย้อนตำนานหนังดังสุดสยองขวัญเรื่องหนึ่งของโลก... ว่าแต่คุณจะกล้าพอไหม....







Pendle Hill Lancashire





Pendle Hill มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่องที่เป็นสถานที่ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่อยู่ของ สิบสองแม่มด ในศตวรรษที่ 17 เหล่าแม่มดถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนนับสิบคน จึงถูกชาวบ้านนำตัวไปพิสูจณ์ หนึ่งในสิบสองแม่มดที่ถูกกล่าวหาเสียชีวิตในระหว่างการพิสูจณ์ ที่เหลือพบว่ามีความผิดและถูกตัดสินโดยการแขวนคอ แม้คนหนึ่งซึ่งยังไม่พบว่ามีความผิด ก็ยังถูกตัดสินแขวนคอไปด้วย ประวัติศาสตร์ของแม่มดที่นี่ ทำให้สถานที่แห่งนี้ มีบรรยากาศน่าขนลุกและพบว่ามีเรื่องราวที่น่ากลัวเกิดขึ้นหลายครั้งตลอดมา.....




 ศตวรรษ ที่ 16-17 จำนวนแม่มดในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนที่ วิชาว่าด้วยคุณไสย( witchcraft ) เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ จำนวนแม่มดในออสเตรเลียและยุโรป อาจจะมีจำนวนมากพอๆกัน ก็ได้ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย มีการเปิดสอนวิชาการแม่มดทางจดหมายซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ในสมัยก่อนผู้คนต่างเชื่อว่า การเจ็บป่วยและโชคร้ายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง เชื่อกันว่าเกิดจากความตั้งใจของแม่มด แม่มดเป็นผลพวงของลัทธิป่าเถื่อน ใช้คุณไสยช่วยเหลือผู้คน รักษาโรค นำโชค แต่คุณไสยสามารถนำมาใช้ในทางไม่ดีได้ด้วย...



เรื่อง ของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถูกแสดงได้โดยพระเจ้าเท่านั้น
เรื่องราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นก่อนยุคกลาง มีผู้วิเศษออกมากล่าวหาว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมาองค์การศาสนาก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้งแม่มด ฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า พ.ศ. 2027 องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน.....



ในช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง  แม่มด ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอำนาจของปีศาจ และถือว่าเป็นสาวกของมัน นั่นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา....

การ ลงโทษหรือล่าแม่มดมีมานานแล้ว แต่ที่โด่งดังมากๆ คือ การล่าแม่มดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงยุคกลางในประเทศทั้งแถบยุโรปและอเมริกา โดยกินเวลายาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 17 ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายไปเป็นจำนวนมาก วันนี้ผมก็ได้รวบรวมเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับวิธีการทดสอบแม่มดและพ่อ มดในยุคกลาง ซึ่งออกจะไร้ซึ่งเหตุผล และถ้าเอามาใช้ในทุกวันนี้ พวกเราทุกคนคงต้องเป็นแม่มดกันหมดอย่างแน่นอน....
เริ่มจากการหาผู้ที่เข้าข่ายว่าอาจจะเป็นแม่มด วิธีการตรวจสอบ คือ

1. ดูจากรอยตำหนิบนร่างกาย เช่น ถ้ามีไฝ ปาน หรือตำหนิอื่นๆ บนผิวหนังที่ติดตัวมาแต่เกิด ก็จะถือว่าเป็น “รอยตำหนิของปีศาจ” (diabolical mark) แต่บางคนถึงไม่มีรอยพวกนี้ ผู้สำรวจก็อาจจะบอกว่า มีรอยตำหนิที่มองไม่เห็นอยู่ (invisible mark) และถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอยู่ดี
2. มีผมสีแดง คนผมแดงในยุคนั้นจะโชคร้ายมาก เพราะผมสีแดงเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นข้ารับใช้ของปีศาจ และเป็นแม่มด
3. ถูกกล่าวหาโดยแม่มดคนอื่น กรณีนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก เพราะถ้าโดนจับในข้อหาเป็นแม่มดแล้วยอมบอกชื่อแม่มดคนอื่นๆ อีก โทษที่ได้รับก็จะเบาลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกประหาร เบาลงที่ว่าหมายความว่า แทนที่จะถูกเผาทั้งเป็น ก็อาจจะถูกรัดคอจนตายก่อนแล้วค่อยเผา ทรมานน้อยลงอีกนิดหน่อย

 

4. ถ้ามีคนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ผู้หญิงคนอื่นๆ ในครอบครัวก็อาจจะต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดไปด้วย อาจจะโดนเผาทั้งเป็นยกครัวได้
5. พูดไม่ดีเกี่ยวกับศาสนา หรือแสดงความไม่นับถือ อะไรก็ตามเป็นการลบหลู่ศาสนา ถึงจะแอบๆ พูดกันเองแต่สมัยนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่พร้อมจะเอาเรื่องของคนที่น่าสงสัยไป ฟ้องโบสถ์อยู่แล้ว เกิดมีคนได้ยินขึ้นมาแล้วเอาไปฟ้องทางโบสถ์ จะถือว่าเป็นพวกบูชาปีศาจ เป็นแม่มด และถูกจับเผาทั้งเป็นอีกเช่นกัน
6. ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นด้วยเวทมนต์ ซึ่งเวทมนต์ที่ว่านี้ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้อยู่ดี แต่จะดูเอาจากว่า เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับผู้คนหรือธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ เช่น ถ้าอยู่ดีๆ วันหนึ่งเพื่อนข้างบ้่านเกิดผื่นขึ้น หรือพายุลูกเห็บตกในหมู่บ้าน หรือว่าวัวตายยกคอก ก็สรุปได้แล้วว่า มีการใช้เวทมนต์แน่ๆ ก็ต้องควานหาเหยื่อมารับผิดเป็นแม่มด แล้วนำไปเผาทั้งเป็น.....
7. มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างจากคนอื่น เช่น หน้่าตาน่าเกลียดเกินไป สวยเกินไป (สวยเกินก็โดนอีก เหอะๆๆ....) จมูกใหญ่ไป ฟันยื่นเกินไป แก่เกินไป อะไรก็ได้ที่ต่างจากคนอื่น ก็อาจจะทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดได้



8. คนที่มีความสามารถด้านการแพทย์ การรักษา หรือมีความรู้ด้่านสมุนไพร มักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ถึงแม้จะใช้ความสามารถนี้ในการช่วยเหลือสังคม แต่ก็จะถูกหาว่าใช้เวทมนต์อยู่ดี
9. มีคนกล่าวหาว่าเรามีพฤติกรรมต่างๆ แบบแม่มด หรือแค่ฝันเห็นว่าทำพฤติกรรมของแม่มด ก็อาจจะโดนเอาตัวไปตรวจสอบได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานอย่างอื่นเลย มีคนถูกกล่าวหาด้วยเหตุผลนี้เยอะอีกเช่นกัน ส่วนมากเกิดจากที่ไปมีความขัดแย้งส่วนตัวกับคนอื่น หรือไม่ก็อยู่เฉยๆ แต่มีคนอยากได้ทรัพย์สินของเรา ก็จะใช้คำอ้างนี้ไปฟ้องกับทางโบสถ์ และผู้ถูกกล่าวหาก็จะถูกนำตัวไปสอบสวน ถึงถ้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว ส่วนมากก็จะถูกสรุปว่าเป็นแม่มดอยู่ดี....
หลังจากที่ได้ผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ก็ถึงขั้นตอนทดสอบเพื่อยืนยัน ซึ่งถ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ต้องโดนยัดเยียดข้อหาแม่มดให้อยู่ดี (ยังไงก็ตายอะนะ หึหึ) ขั้นตอนการทดสอบเองก็มีหลากหลายวิธีมาก เช่นตามนี้.....


1. ถ้าผู้ต้องสงสัยมีรอยตำหนิบนร่างกายแล้ว เชื่อกันว่า รอยตำหนิของปีศาจเหล่านี้ ถ้าถูกแทงด้วยเข็มจะไม่มีเลืิอดออก และไม่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้น ผู้ทดสอบส่วนใหญ่จะใช้เข็มปลายทู่ หรือใช้เทคนิคต่างๆ เช่นใช้เข็มแทงเข้าไปถึงแค่ชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งแน่นอน ว่าไม่มีเลือดออก และไม่เจ็บด้วย ทำให้ผู้ที่ถูกทดสอบถึงผลออกมายังไงก็ต้องเป็นแม่มดแน่ๆ
2. ทดสอบความศรัทธาต่อพระเจ้า ด้วยการให้ผู้ต้องสงสัยอ่านคัมภีร์บทสวดของพระเจ้า (Lord’s Prayer)  โดยต้องห้ามอ่านผิดแม้แต่นิดเดียว (รวมถึงห้ามพูดตะกุกตะกัก ขัดๆ หรือติดอ่าง) ซึ่งในสถานการณ์กดดันแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะตื่นเต้น ตกใจ อ่านผิดกันทั้งนั้น รวมถึงคนที่พูดติดอ่างอยู่แล้วก็ไม่มีข้อยกเว้น
3. ในกรณีที่มีคนในหมู่บ้านเกิดอาการชัก หรือเหมือนถูกผีเข้า ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดจะต้องทดสอบด้วยการสัมผัสที่ตัวของผู้มีอาการ ถ้าอาการนั้นหายไปทันที แสดงว่าผู้ต้องสงสัยนั้นเป็นแม่มดเ พราะเชื่อกันว่าแม่มดจะดูดเอาเวทมนต์ออกไปถ้าได้สัมผัสกับตัวเหยื่อ วิธีทดสอบนี้ทำให้มีคนบริสุทธิ์ถูกเผาทั้งเป็นเยอะเช่นกัน เนื่องมากจากส่วนใหญ่คนที่เป็นเหยื่อก็คือคนที่มีเหตุต้องการให้ผู้ถูกกล่าว หาโดนลงโทษอยู่แล้ว จึงใช้การแสดง แกล้งทำเป็นว่าถูกเวทมนต์ดำนั่นเอง 


4. ถ้าใช้วิธีต่างๆ แล้ว ผู้ถูกกล่าวหายังไม่ยอมรับว่าเป็นแม่มด ผู้ทดสอบก็จะใช้วิธีที่โหดขึ้นอีก เช่น ใช้การทรมานแบบต่างๆ เพื่อให้ผู้ต้องสงสัยยอมรับ ถ้าผู้ถูกทรมานไม่ยอมรับ ก็จะโดนทรมานจนตาย แต่ถูกทรมานมากๆ เข้าจนทนไม่ไหวต้องจำยอมรับผิด ก็จะถูกนำไปเผาทั้งเป็น นอกจากนั้น ถ้าระหว่างการทรมานผู้ต้องสงสัยไม่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก็จะถือว่าเป็นแม่มดทันที
 อีกวิธีการที่โด่งดังมาก คือการจับคนที่สงสัยว่าเป็นแม่มดไปถ่วงน้ำ โดยใช้เชือกมัดแขนขา จากนั้นก็โยนลงในน้ำ เชื่อกันว่า น้ำเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ถ้าอยู่ข้างพระเจ้าก็จะจมน้ำลงไป แต่ถ้าเป็นแม่มดก็จะโดนน้ำดันลอยกลับขึ้นมา ถ้าใครลอยขึ้นมาก็คือเป็นแม่มด และจะโดนจับไปลงโทษ แต่ถ้าใครจมน้ำตายก็จะถูกประกาศว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็คงจะไม่ทันแล้ว.... (น่าสงสาร ......)


กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ เกือบออกทะเลไปซะยาวเลย แฮ่ๆ...
Pendle Hill เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในเรื่องของคาถาและบูชาปีศาจ มีทัวร์ต่างๆจัดขึ้นในพื้นที่ เช่น ทัวร์การติดตามจับกุมแม่มดเป็นต้น ปัจจุบันยังคงมีการบอกเล่าถึงวิญญาณของเหล่าแม่มดที่ยังคอยหลอกหลอนอยู่ตามอาคารและหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวบางรายรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นเมื่อเข้าสู่บริเวณแห่งนี้ ประชาชนในท้องถิ่นก็ยังคงหวาดกลัวที่จะพูดคุยถึงเหตุการณ์การพิจารณาคดีแม่มดในครั้งนั้น.....



กว่าปีที่ Pendle Hill ได้รับการแนะนำให้มาถ่ายทำรายการที่เกี่ยวกับผีสิงในหลายรายการโทรทัศน์และทัวร์ผี สมาชิกของทีมงานโทรทัศน์เหล่านั้น เมื่อมาถ่ายทำ ก็มักจะถูกทำร้ายจากบางสิ่ง บางคนบอกว่าพวกเขาถูกรัดคอด้วยมือที่มองไม่เห็น... หลายครั้งพวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่ยังคงวนเวียนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ตลอดมา... อร๊ายยย น่าไปพิสูจณ์ เผื่อจะมีแฮรี่ พอตเตอร์อยู่แถวๆนั้น เกี่ยวมะเนี่ยยยยย.....






Bran Castle Romania



ปราสาทบราน (Bran Castle) แห่งโรมาเนีย สร้างขึ้นในปี คศ.1212 โดยอัศวินชาวเยอรมัน เป็นปราสาทของเจ้าผู้ครองแคว้นทรานซิลวาเนีย อายุเก่าแก่กว่า 600 ปี ตัวปราสาทตั้งอยู่บนหน้าผาสูงใกล้เมือง Brasov เพื่อใช้เป็นป้อมปราการที่ป้องกันการรุกรานจากข้าศึก (พวกเติร์กแห่งอาณาจักรออตโตมาน) ซึ่งขณะนั้น โรมาเนียแบ่งเป็นแคว้นทรานซิลวาเนีย กับวัลลาเชีย มีเจ้าชายผู้กล้าคนหนึ่ง คือ เจ้าชายวลาด เทเปส (Vlad Tepes) ปฏิบัติการรุกรบต่อต้านการโจมตีของพวกเติร์กอย่างแข็งขัน จนเป็นที่เลื่องลือในความเก่งกล้า บ้าบิ่น และเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกราน จนเป็นเจ้าของตำนานความโหดเหี้ยมดังกล่าว จนพระองค์ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรวัลลาเชีย (ปราสาทบราน ตั้งอยู่ระหว่าง แคว้นวัลลาเชีย และ แคว้นทรานซิลวาเนีย ที่ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนีย)


ในยามนั้น ชาวบ้านนิยมเรียก เจ้าชายวลาดว่า "วลาด แดรคูล" (แปลว่า วลาด เจ้ามังกรผยองเดช) เพราะพ่อของวลาด ได้รับการแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิซิกิสมุนด์ แห่งนูเรมเบิร์ก ให้เป็น "อัศวินมังกร" (Knight of Dragon's Order) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทด้วย เมื่อวลาดขึ้นครองวัลลาเชีย และยังเป็นเจ้าชายนักรบผู้กล้า ผู้คนจึงเรียกเขาอย่างภูมิใจว่า "วแลด แดรโค" (Vlad Draco) คำว่า "แดรโค" เป็นภาษาละตินแปลว่า "Dragon" หรือมังกรนั่นเอง ภายหลังจึงเพี้ยนเสียงเป็น "วแลด แดรคูล" (Vlad Dracul) ไม่ใช่ท่านเคาท์แดร๊กคูล่า จอมดูดเลือดแต่อย่างใด....




Poienari Castle เป็นปราสาทเก่า ที่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นปราสาทของ Vlad the Impaler (Vlad Dracula) ตัวจริง ขณะที่ปราสาทบรานนั้น เล่ากันว่าเป็นเพียงที่พักแค่ คืนเดียวเท่านั้น ...และในต้นศตวรรษที่ 20 ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นที่ประทับของพระนางมารีแห่งโรมาเนีย (ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของพระราชินีวิคทอเรียแห่งสหราชอาณาจักร) ต่อมาปราสาทบราน ตกทอดสู่เจ้าหญิงอิเลน่าแห่งโรมาเนีย พระธิดาของพระนางมารี ....



จนกระทั่งในปี คศ.1948 พรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองปราสาทหลังนี้ และเนรเทศเชื้อพระวงศ์ออกนอกประเทศ ปราสาทบรานจึงทรุดโทรมลง โดยไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งถึงปี คศ.1989 หลังการปฎิวัติโรมาเนีย และการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงปรับปรุงปราสาทหลังนี้ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ ด้วยความโด่งดังที่มาจากตำนานที่แต่งขึ้น และกลายเป็นหนังที่คนดูทั่วโลก จดจำความน่ากลัวของมันได้.....


ปราสาทแดร๊กคิวล่า จึงถือเป็น "ความจริงที่หลอกลวง" แต่เรื่องนี้ชาวโรมาเนียไม่ได้โวยวายอะไร เพราะความจริงลวงนี้นำเงินตราเข้าประเทศมหาศาล ล่าสุด มีข่าวว่า ทายาทผู้ครองแคว้นทรานซิลวาเนีย (ไม่ใช่ทายาทผีดิบดูดเลือด) ประกาศจะขายปราสาทบรานให้รัฐบาลโรมาเนียเป็นเงินถึง 60 ล้านยูโร หรือแค่ 2,800 กว่าล้านบาท.... โอ้ว ... บางครั้งการหลอกลวงมันก็มีประโยชน์เหมียนกัลแฮะ ฮิๆๆๆ....


ภาพจาก ภาพยนต์ เรื่อง "Dracula"





Stull Cemetery Getway to hell





มีสุสานทั่วอเมริกาสถานที่ที่มีชื่อเสียง แต่จะมีที่ไหนเล่าที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น "สุสานผีสิง" เหมือนดั่งเช่นที่นี่ สุสาน Stull เป็นมากกว่าสุสานที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีสิง เหนือกว่านั้น มันยังเป็นที่ที่เราจะได้เจอถึงระดับปิศาจ และ ซาตานด้วยซ้ำไป กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่ที่น่ากลัวสุดๆ จนได้รับขนานนามว่าเป็น "ประตูลงไปสู่ห้วงนรก" กันเลยทีเดียว....



สุสานและคริสตจักรที่ถูกทอดทิ้งแห่งนี้ ตั้งอยู่ถัดไปจากเมืองแคนซัส เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เกือบจะถูกลืมเลือนไปแล้ว มีบ้านไม่กี่หลังและมีประชากรที่ถูกกล่าวหาว่ามีจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ใช่มนุษย์มาอาสัยอยู่อีกด้วย!! นอกจากนี้ยังมีหมายเลขบ้านบางหลัง ดันไปมีหมายเลขที่คล้ายเครื่องหมายหรือเลขหมายที่เกี่ยวข้องกับตำนานและนิทานแปลกๆที่เชื่อมโยงกับคริสตจักรเก่าและเรื่องเล่าสยองขวัญ หลายปีที่ผ่านมาเรื่องราวของผีและเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้ล้อมรอบสุสานเก่าแห่งนี้ มันเป็นสถานที่ที่ดึงดูดให้มาพิสูจณ์เรื่องราวเหนือธรรมชาติจากบุคคลหลากหลายแขนงด้วยกัน....





แต่ เมื่อไม่นานมานี้ ประมาณเมษายน 2012 กลับพบว่า โบสถ์แห่งนี้กลับถล่มลงมาอย่างลึกลับ บ้างกว่าเจ้าของที่ทำการทุบทิ้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้ว่า มันจะเหลือเพียงแต่ซาก ก็ยังมีคนกล้าท้าลองดี เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับภูติผี ซาตานกันอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา....



เมือง Stull ตั้งอยู่ประมาณสิบไมล์ทางทิศตะวันตกของอเรนซ์ ในส่วนหนึ่งของรัฐแคนซัสทางตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถไปได้โดยการเดินทางทางทิศตะวันตกบนถนนเส้น 40 และจากนั้นเดินทางตรงไปทางตะวันตก Stull เราสามารถพบเมืองนี้ได้บนขอบด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาปคลินตันและใกล้กับอุทยานแห่งชาติ คลินตัน หากท่านจะไปยังสุสานแห่งนี้ จำเป็นต้องมีผู้นำทางไปที่นั่นด้วย เพื่อป้องกันความปลอดภัยของตัวท่านเอง หึหึ..... จะไปกันไหมมมมม...??




 
 The Hell Town Ohio





Helltown หรือเฮลล์ทาวน์ ถูกขนานนามไว้ว่า เป็นหนึ่งในบรรดาสถานที่ ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด และแอบแฝงไปด้วยปรากฏการณ์หรืออำนาจที่เหนือธรรมชาติ และสถานที่แห่งนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่เต็มไปด้วยความสับสน ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มีแต่ความลึกลับน่าสะพรึงกลัวดำมืดแฝงเร้นอยู่ทั่วทุกอณูแห่งสถานที่แห่ง นี้...

เฮลล์ทาวน์ เป็นสถานที่ ที่มีเรื่องราวเล่าขานกันมามากมาย และแต่ละตำนานที่เล่าขานกันมานั้น  ประกอบไปด้วยเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไปอีก เฮลล์ทาวน์ ตั้งอยู่บนจุดสูงสุด ทางตอนเหนือของประเทศ ตัวเมืองล้อมรอบไปด้วย เมืองอื่น ๆ อีกหลายเมือง อาทิ....เมืองบอสตัน บอสตันทาวน์ชิพ เพนินซูล่า ซาก้ามอร์ ฮิลล์ และเนอธฟิลด์ ทาวน์ชิพ ปัจจุบันเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกี่ยวโยงกับเฮลล์ทาว์ มีเยอะแยะมากมาย เป็นเรื่องยากลำบากพอสมควร ที่จะพยายามติดตามแกะรอยของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เราลองมาดูเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาว่ามีอะไรกันบ้างนะครับ แต่ละอัน ขนหัวลุกและน่าติดตามทั้งนั้น หุหุหุ....

ว่ากันด้วย .... แผนการลับของรัฐบาล





กล่าว กันว่า....รัฐบาลในสมัยนั้น พยายามที่จะปกปิดความจริง เกี่ยวกับการรั่วซึมของสารเคมี ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ สารเคมีดังกล่าว เป็นผลทำให้ ผู้คน และเด็ก ๆ รวมทั้งสัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่นะ ที่แห่งนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลง กลายพันธุ์ และกลายเป็น มนุษย์กลายพันธุ์ไปในที่สุด... แต่ทางรัฐบาลก็ปฐิเสธเรื่องราวทั้งหมดมาโดยตลอดว่าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น แน่นอน ... ว่าแต่ว่า ทำไมถึงปิดตายเมืองล่ะ มันน่าสงสัย....


ตำนาน เกี่ยวกับสุสาน “....สุสานของชุมชนแห่งนี้ มีภูตผี มานั่งบนม้านั่ง ดวงตาจ้องเขม็ง ไปข้างหน้า เหมือนกำลังจ้องมองบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า....”
ความ จริงที่อยู่เบื้องหลังคือ The Ghosts of Ohio หรือ โกสท์ ออฟ โฮไฮไอ้ ( เป็นองค์กรหนึ่ง ที่คอยตรวจสอบ แกะรอย สืบ เรื่องราวเกี่ยวกับภูติ ผี ปีศาจ หรือเรื่องที่อยู่เหนือธรรมชาติ) ....เดอะโกสท์ ออฟ โอไฮไอ้ ไม่สามารถที่จะอธิบายประโยคที่ว่า “ภูตผี มานั่งบนม้านั่ง ดวงตาจ้องเขม็ง ไปข้างหน้า “ คืออะไร เป็นมาอย่างไรแน่ ที่น่าแปลกก็คือสุสานแห่งนี้ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Boston Cemetery สุสานบอสตั้น ไม่มีม้านั่งแม้แต่ตัวเดียว และตำนานยังกล่าวขานกันว่าต้นไม้ในสุสานมันเคลื่อนไหวเองได้....โห....น่าขน ลุกจริงแท้.....
เรื่องกล่าว ขานเป็นตำนานที่ว่านี้ ได้เล่ากันปากต่อปาก ไปทั่วโลกไซเบอร์ และนี้ ก็เป็นอีกเรื่องที่หาข้อมูลใด ๆ ไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม องค์กร เดอะโกสท์ ออฟ โอไฮไอ้ ก็กลับได้รับอีเมล์ลึกลับฉบับหนึ่ง ซึ่งมีข้อความบอกว่า การที่ต้นไม้เคลื่อนไหวได้นั้น “ เป็นการกระทำของ กลุ่มที่นับถือซาตาน “ เพื่อที่จะปกป้อง พิธีกรรมอันลึกลับ โอ้แม่จ้าววว.....


ตำนานบ้านร้างหลังใหญ่ในป่า กล่าวขานมาว่า มีบ้านร้างอยู่หลังหนึ่งในป่า และบ้านหลังนี้ จะปรากฏว่ามีคน เปิดไฟอยู่ชั้นบนของบ้าน แสงไฟลอดช่องหน้าต่างออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง อั้ยยะ!!!......

 

ตำนาน รถโรงเรียนสยองขวัญ ตำนานเล่าขานกันมาว่ารถโรงเรียน โดนลากเข้าไปในป่า พร้อมทั้งเด็ก ๆ ในรถทั้งคัน และเด็กนักเรียนทั้งหมด โดนฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย บ้างก็เล่าว่าโดยฆาตรกรต่อเนื่อง คนไข้ที่หลบหนีออกจากโรงพยาบาลโรคจิต กลุ่มลัทธิซาตาน หรือ สมาชิกบางคนที่นับถือลัทธิซาตาน ...เป็นต้น
และ เหตุการณ์อันน่าขนลุกขนพอง ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ เล่ากันว่า รถโรงเรียน เต็มไปด้วยผี หรือวิญญาณของเด็ก ๆ ที่โดนฆ่า แต่ละคน ยังนั่งอยู่ที่เบาะของตนวิญญาณของฆาตรกรที่ลงมือฆ่าเด็ก ยังปรากฏให้เห็น จากเบาะหลังภายในตัวรถ บ้างก็ว่า นั่งสูบบุหรี่อยู่เบาะหลังรถคันนี้ บางครั้ง จะได้ยินเสียงของพวกเด็ก ๆ ทั้งหัวเราะ และหวีดร้อง ดังออกมาจากตัวรถ.....หึหึหึหึ.....
ผู้ คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น พยายามที่จะเคลื่อนย้ายรถต้องคำสาปคันนี้ออกไปที่อื่นเสีย แต่ทว่าก็พากันประสบอุบัติเหตุ บ้างก็ถึงกับเสียชีวิตจากการที่พยายามเคลื่อนย้ายรถต้องคำสาปคันนี้ก็มี ผู้คนจึงตัดสินใจ ทิ้งไว้ ณ ที่ตรงนั้น...โดยไม่มีใครกล้าแตะต้อง ตราบจนถึงทุกวันนี้ .... สยองซะ


โบถส์ ของซาตาน The Satanic Church ล่ำลือกันมาว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นโบสถ์ที่ใช้ ประกอบพิธีบวงสรวงของบรรดาสาวกที่นับถือลัทธิซาตาน มีไม้กางเขนกลับหัว สัญลักษณ์ของสัตว์กลายพันธุ์ และสัญลักษณ์ของซาตาน อยู่เต็มไปหมดภายในโบถส์แห่งนี้.........


สะพาน แห่งเสียงร้องของเด็ก เล่ากันว่า....มีคนเอาเด็กทารกมาโยนทิ้งที่สะพานแห่งนี้ และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม กฎต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คุณหรือใครที่ต้องการจะไปชมสถานที่แห่งนี้สิ่งที่ควรปฏิบัติ และห้ามยกเว้นในข้อใดข้อหนึ่งคือ....
1.เอากุญแจสำรองไปด้วย
2.ไปที่แห่งนี้ตอนกลางคืน
3.จอดรถไว้บนสะพาน
4. ดับเครื่องยนต์
5.เก็บกุญแจสำรองไว้ในกระเป๋าของคุณ
6. ออกจากรถ
7.ล็อครถของคุณเสีย
8.เดินออกจากตัวสะพาน
9.ยืนอยู่แถว ๆ นั้นซักครู่
10.แล้วเดินกลับมาที่รถของคุณ และเมื่อคุณหวนกลับมาที่รถอีกครั้ง คุณก็จะเห็นรอยเท้าของเด็ก...อยู่บนรถของคุณ... ไอ๊ย๋าาาาา....



The End of the World Road หรือ ถนนแห่งจุดจบของโลก ... ว่ากันว่า ถ้าใครได้เดินทางเข้าไปในถนนแห่งนี้ คุณจะหลุดเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง และจะไม่มีวันได้กลับออกมาอีกตลอดกาล ....อ่า...................ไม่ไปดีกว่า เหอๆๆๆๆๆ....
ตำนานเมืองนี้ยังมีอีกมากมาย ใครสนใจใคร่รู้เชิญไปพิสูจณ์เองได้ หรือ ไม่มีตังค์ไปก็ลองไปอ่านกันต่อได้ที่เวปนี้ครับ...



The Overtoun Bridge Scotland
 


สะพานสุสานสุนัข เป็นสะพานโค้งสร้างในปี 1859 ในมิลตัน ดัมบาร์ดัน สก็อตแลนด์ ที่มันได้ชื่อฉายานี้เพราะอดีตที่ผ่านมามีสุนัขหลายตัวไปฆ่าตัวตายโดยการ กระโดดลงไปจาก สะพานแห่งนี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่การศึกษาพบว่าสุนัขในแถบนั้นนั้นเริ่มมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายโดยโดดจากสะพาน เริ่มในช่วง 1950 หรือ 1960 เฉลี่ยหนึ่งตัวต่อหนึ่งเดือน โดยจุดที่กระโดดนั้นนำไปสู่ความสูงกว่าสิบห้าฟุตทำให้สุนัขตายทันที แม้สุนัขบางส่วนรอดก็จริงแต่มันก็กลับมากระโดดฆ่าตัวตายอีก.......

 

 และที่น่าสนใจคือสุนัขที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์ที่จมูกยาว ทำให้หลายคนเชื่อว่าสะพานนี้มีผีสิงและอาจเป็นคำสาปของเด็กคนหนึ่งที่ถูกโยน ตกสะพานในปี 1994 และคนโยนก็มีพฤติกรรมอยากฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน.... น่าฉงฉารน้องหมา


และนอกจากนี้ยังมีคนเชื่อว่าสะพานแห่งนี้เป็นที่กั้นระหว่างโลกคนเป็นกับคนตาย ซึ่งเป็นสายตรงหากจะข้ามไป ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ได้ส่งคนเข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่าบริเวณนั้นเป็นผู้อยู่อาศัยของหนูและตัวมิงเยอะ จากการตรวจสอบพบว่าพวกมันมีกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบและนี้คือสาเหตุที่ทำให้ สุนัขมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือไม่นั้นก็ไม่สามารถตรวจสอบได้..... เป็นเช่นนั้นแลลลล.....


เอา ล่ะ ในที่ีสุดก็จบลงแล้วกับการพาไปเที่ยวในสถานที่ที่น่าขนลุกจากทั่ว โลก....หวังว่าคงจะเพลินตาเพลินใจกันไป รวมทั้งขนลุกไปด้วย 5555

ข้อมูลทั้งหมดผมนำมาจากเวป http://www.telegraph.co.uk/travel/

ส่วนรูปประกอป และข้อมูลก็เซิสมาจาก วิกิพีเดีย แล้วนำมาแปลคร่าวๆอีกที

คลิปนำมาจาก YouTube (จะบอกทำไม ฮ่าๆๆๆ)

วันนี้ขอจากลากันเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ไว้อย่าลืมติดตามกันต่อไป กับเรื่องราวลึกลับที่ยังรอการพิสูจณ์จากทั่วโลก

รับประกันว่า เรื่องหน้า สนุกแน่นอนครับ รับประกันได้......

ไว้เจอกันจ้า ...... 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น