Translate

Top Ten of the Most Mysterious Places on Earth Pt. 2 ( 10 สถานที่ลึกลับบนโลกเรานี้ ภาคที่ 2 )

10. Hell's Door





ประตู นรก แห่งนี้อยู่ที่ประเทศเติร์กเมนิสถาน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รวมไว้ทั้งความแปลกและความน่ากลัว จากสภาพหลุมขนาดยักษ์ ลึกกว่า 70 เมตร ที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตลอดเวลา จนดูราวกับประตูสู่ขุมนรกที่ร้อนระอุ สำหรับประตูนรกแห่งนี้เดิมทีเป็นเหมืองร้างซึ่งมีหลุมขนาดใหญ่ที่มีก๊าซพวย พุ่งออกมา ใน ค.ศ. 1971 คนงานของเหมืองรายหนึ่งจึงตัดสินใจจุดไฟเผาไหม้ก๊าซในหลุม โดยหวังว่าเมื่อก๊าซถูกเผาจนหมด เปลวไฟนั้นจะมอดดับไปเอง โดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมานานหลายปี เปลวไฟที่ลุกท่วมหลุมประตูนรกนี้จะยังคงลุกโชนไม่รู้ดับต่อไป....อึ๊ยยยย

 

9. Eisriesenwelt Ice Caves Austria





ถ้ำ น้ำแข็งไอส์รีเซนเวลต์ (Eisriesenwelt Ice Caves) ในภาษาเยอรมันหมายถึง “โลกแห่งน้ำแข็งยักษ์” เป็นถ้ำน้ำแข็ง หินปูน ธรรมชาติขนาดใหญ่ของประเทศออสเตรีย (เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์) ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเมืองซาล์สเบิร์ก เป็นถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดโลกเท่าที่มนุษย์ค้นพบในปัจจุบัน โดยถ้ำแห่งนี้ค้นพบครั้งแรกในปี 1879 ที่สมัยนั้นคนในท้องถิ่น รู้จักมันในฐานะทางเข้าสู่นรกและไม่กล้าที่จะเข้าไปข้างใน ลักษณะข้างในถ้ำเป็นเหมือนภูเขาที่อยู่ในถ้ำและจะมีน้ำแข็งเกาะ
หินงอก เต็มไปหมด เสมือนกับว่าคุณอยู่ในโลกต่างมิติยังไงอย่างงั้น จนไม่เชื่อว่านี้คือฝีมือของธรรมชาติ ถ้ำแห่งนี้มีความลึกถึง 42 กิโลเมตร (แต่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมแค่กิโลเมตรแรก)
โดยถ้ำนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวชมตั้งแต่ 1 พฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปีโดยเปิด 9.00 น.-16.30 น. ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่กระนั้นก็มีนักท่องเที่ยวกว่า 200,000 คนต่อปีมายังสถานที่แห่งนี้


8. Mono Lake





ทะเลสาบ โมโน แห่งรัฐแคลิฟลอเนีย สหรัฐอเมริกาเป็นทะเลสาบที่ไม่มีทางออกสู่มหาสมุทร ทำให้น้ำในทะเลสาบมีความเค็มอยู่มาก ซึ่งปริมาณเกลือในทะเลสาบแห่งนี้เองที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่ การเจริญเติบโตของบรรดากุ้ง ในทุก ๆ ฤดูจึงมักจะมีฝูงนกนับพันตัวบินถลาลงมาหากุ้งกินเป็นอาหาร และด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่ผสานกับระบบนิเวศเล็ก ๆ นี้เองที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบสถานที่สุดแปลกของ โลก....สวยอะ


7. Vale da Lua Brazil





หุบ เขาโลกพระจันทร์ เป็นที่ราบสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี อยู่ห่างจากเมือง Alto Paraíso de Goiás ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศบราซิลไปประมาณ 38 กิโลเมตร
และเป็นส่วน หนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Chapada dos Veadeiros โดยพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหินรูปร่างประหลาดแปลกตามากมาย ทำให้ดูเหมือนผิวพื้นดวงจันทร์อย่างใดอย่างงั้น ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการกัดเซาะของแม่น้ำ San Miguel แทรกอยู่ภายใน ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001 และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาชมมากที่สุดในชีวิต


6. Chocolate Hills





สำหรับ สถานที่สุดแปลกบนโลกของเราอีกที่หนึ่งคงจะหนีไม่พ้น ภูเขาช็อกโกแลต แห่งเกาะโบโฮล สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งภูเขานับ 1,268 ลูกที่เรียงรายอยู่นั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยคว่ำเหมือนกัน ทั้งยังมีขนาดที่ใกล้เคียงกันในช่วงความสูงตั้งแต่ 30-50 เมตร อย่างไรก็ดีสำหรับชื่อภูเขาช็อกโกแลตของสถานที่แห่งนี้ มีที่มาจากสภาพของต้นหญ้าสีเขียวที่ขึ้นคลุมภูเขาแต่ละลูกจะเปลี่ยนเป็นสี น้ำตาลในฤดูแล้ง....น่ารักเน้าะ อิอิ


5. Blood Pond Hot Spring Japan





ด้วย ความงดงามจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติที่มีความแปลกไม่เหมือนใครนี้เองที่ทำ ให้ น้ำพุร้อนสีเลือด หรือ นรกขุมที่เก้าแห่งเบปปุแห่งนี้กลายมาเป็นน้ำพุร้อนที่โด่งดังที่สุดของเมือง เบปปุ จังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชูของญี่ปุ่น ซึ่งสีแดงราวกับเลือดของน้ำพุร้อนแห่งนี้เกิดจากน้ำที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่สูงมากนั่นเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากน้ำมีธาตุเหล็กผสมอยู่มากทำให้น้ำพุร้อนแห่งนี้ไม่ เหมาะแก่การลงแช่ หรือใช้อาบน้ำ มันจึงถูกใช้เป็นสถานที่ชมวิวไปนั่นเอง... อันนี้น่าไปนะ ไปดูสาวๆ AV แช่น้ำร้อน ฮาาาา....


4. Salar de Uyuni Bolivia







เป็น ทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีพื้นที่ถึง 10,582 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย ใกล้ยอดของเทือกเขาแอนดีส และมีความสูง 3,656 เมตร (11,995 ฟุต) หรือระดับน้ำทะเลเฉลี่ย เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคราบเกลือที่หลงเหลือมานานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติ ศาสตร์ ทำให้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วย หินเกลือและยิปซัม และแร่ลิเธียม (มีมากกว่า 70% ของปริมาณแร่ลิเธียมของทั้งโลกที่ยังไม่ได้สกัด) มีการประมาณว่ามันบรรจุไว้ด้วยเกลือกว่า 10 ล้านล้านตัน
มีเกลือมากจนกระทั้งกลายเป็นชั้นดินที่สามารถทำให้คนหรือรถ เดินทางลงได้อย่างสบาย นอกจากทัศนียภาพที่แปลกตาจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว มันยังใช้ประโยชน์มากมาย หนึ่งในนั้นคือมันเหมาะมากในการถูกนำไปใช้ประโยชน์ ในการตรวจสอบ และปรับแก้การวัดค่าความสูงของดาวเทียม
เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้กว้างใหญ่ พื้นผิวราบเรียบเป็นพิเศษ
อีก ทั้งท้องฟ้าที่ค่อนข้างเปิด ความชื้นต่ำ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของโบลิเวียเพราะแร่ลิเธียม (ใช้ทำแบตเตอรี่ไฟฟ้า) เหมือนแร่และยังเป็นแหล่งของพืชและสัตว์แปลกๆ มากมาย
(ภาพใหญ่ข้างบนปรากฏการสะท้อนแสง) น่าพาหมู่คณะไปถ่ายรูปเน๊าะ ฮิๆๆ...


3. Rio Tinto River





แม่ น้ำสีแดง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน มีต้นน้ำไหลมาจากภูเขาเซียร์ร่า โมรีน่า โดยสำหรับสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของมันนั้นเกิดขึ้นจากแร่โลหะชนิดต่าง ๆ ที่อยู่รอบแม่น้ำสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นแร่ทองแดง แร่เหล็ก แร่โลหะ และแร่อื่น ๆ ซึ่งทำให้น้ำในแม่น้ำมีความเป็นกรดสูงมากจนเปลี่ยนเป็นสีแดง เกิดเป็นสถานที่สุดแปลกพิลึกและได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศ สเปนในที่สุด... น่ากลัวมากกว่านะ หุหุ


2. Grand Prismatic Spring





บ่อ น้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา ซึ่งสีสันที่แบ่งเฉดเป็นสีน้ำเงินตรงกลางบ่อและสีส้มที่ขอบบ่อนี้เองที่ทำ ให้สถานที่แห่งนี้งดงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย จนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงการแบ่งเฉดสีของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า ขอบบ่อที่เป็นสีส้มนั้นเกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอย่างหนา แน่นบริเวณขอบบ่อ เนื่องจากภายในบ่อนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีอุณหภูมิที่เหมาะสมนั่น เอง....อันนี้สวยมว๊ากกกกก อยากไป....


1. Socotra Island







ไม่ น่าเชื่อว่านี้คือเกาะบนโลกมนุษย์ เพราะว่ามันช่างเหมือนบนดาวเคราะห์ที่มีแต่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ เกาะโซโคตร้า เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ภายใต้เยเมน ที่ปลายติ่งแหลมของทวีปแอฟริกา อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากประเทศโซมาเลีย 250 กิโลเมตร
เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในจำนวน 4 เกาะสังกัดหมู่เกาะ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเมื่อ กรกฏาคม 2008 สภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าว และแห้งแล้ง ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาอันแปลกตาแปลกใจ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีฟ้าและเขียวจากธรรมชาติแต่สิ่งที่แปลกที่สุดคือมัน เป็นสถานที่รวมแห่งพืชพรรณแปลกประหลาดหลายชนิด ต้นไม้รูปทรงแปลก ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดได้อายุกว่า 20 ล้านปี การแยกโดดเดี่ยวทำให้เกาะโซโคตร้า มีกลุ่มพืชและสัตว์ “หนึ่งไม่มีสอง” ในโลก  37% ในจำนวนพืช 825 ชนิด  สัตว์เลื้อยคลาน 90%และสัตว์น้ำมีเปลือกชนิดต่างๆ 95% ที่ไม่สามารถพบเห็น
ไม่ว่าสถานที่อื่นใดโลก เช่น ต้น "กุหลาบแห่งทะเลทราย (Desert Rose)" ต้น dragon’s blood (เลือดมังกร) ที่ว่ากันว่ามีสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรคจึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่เกาะแห่ง นี้จะถูกขนามนามว่า “กาลาปาโกสของมหาสมุทรอินเดีย” โอ้ววว นีี่มันฉากในนิยายไซไฟชัดๆๆๆๆๆ...



แถมท้ายด้วยฉากสุดอลังการจากภาพยนต์ "AVATAR" ที่น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากหลายๆที่บนโลกเรานี้นะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น