Translate

The World's Scariest Places Pt.2 ( สถานที่ขนหัวลุกสุดสยองจากทั่วโลก ภาคที่ 2 )

Sedlec Ossuary Czech Republic



ที่ นี่เป็นชื่อโบสถ์เล็กๆ ศิลปแบบโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐเซ็กเขาใช้โครงกระดูกของมนุษย์มาช่วยตกแต่ง กว่า 70,000 ร่างที่นี่สามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้ประมาณ 200,000 คนในแต่ละปี ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างลงความเห็นว่ากระดูกของคนเหล่านั้นได้รับการจัดอยู่ให้เป็นศิลปะแฟชั่นแบบแปลกประหลาด น่ากลัว การตกแต่งภายในมีทั้งการโคมระย้ากระดูกและกะโหลกที่ร้อยเป็นพวงมาลัยตามพนังห้อง อึ๋ย.....



สำหรับ ประวัติของโบสถ์แห่งนี้ ต้องย้อนหลังกลับไปในปี ค.ศ. 1278 กษัตริย์ Otakar ที่ 2 แห่ง Bohemia ได้ส่งพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งของหมู่บ้าน Sedlec ชื่อ Heinrich ไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือ กรุงเยรูซาเล็ม การเดินทางไปแสวงบุญในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากในสมัย นั้น.....
เมื่อกลับมายังหมู่บ้าน Sedlec พระ Heinrich ได้นำเอาดินที่ถือกันว่าเป็นดินศักดิ์สิทธิ์จาก Golgotha อันเป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนกลับมาด้วยและก็ได้นำดินเหล่านั้นมา โปรยไว้ในสุสานของหมู่บ้าน Sedlec สถานะของสุสานจึงเปลี่ยนไป ผู้คนพากันเชื่อว่าสุสานนี้กลายเป็นสุสานศักดิ์สิทธิ์และต้องการให้ตัวเอง หรือญาติพี่น้องมาอยู่ที่สุสานแห่งนี้ เพราะจะทำให้ใกล้ชิดกับพระเจ้า และเป็นหนทางที่จะทำให้ได้ขึ้นสวรรค์


 

ในช่วงเวลานั้นเมือง Kutna Hora เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่เงิน แร่เงินที่ได้จากเมืองนี้เป็นแร่เงินที่มีคุณภาพดีมาก หลายประเทศในยุโรปนำไปใช้ทำเงินตรา จึงทำให้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาอยู่ เข้ามาทำงาน และเสียชีวิตที่นี่ มีข้อมูลว่าในปี ค.ศ. 1318 มีศพที่ฝังไว้ในสุสานแห่งนี้กว่า 30,000 ศพ ศพเหล่านี้มาจากทั่วทุกสารทิศในประเทศ และมีบางศพที่มาจากประเทศข้างเคียง เช่น Poland, Belgium จึงมีการขยายสุสานออกไปอีก เพราะพื้นที่เดิมมีขนาดเล็ก นอกจากการขยายสุสาน ก็มีการล้างสุสานเพื่อให้พื้นที่กับผู้มาใหม่ด้วย
ใน ปี ค.ศ. 1400 มีการสร้างโบสถ์ขึ้นที่กลางสุสาน มีการสร้างห้องใต้ดินไว้ใต้โบสถ์เพื่อใช้สำหรับเป็นที่เก็บกระดูก (ossuary) ที่มาจากการขุดสุสานตอนก่อสร้างโบสถ์และจากการล้างสุสาน ต่อมาเมื่อมีการล้างสุสาน กระดูกทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาก็ถูกนำไปเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดินของโบสถ์ กองทับถมกันอยู่หลายร้อยปี



จน กระทั่งในปี ค.ศ. 1870 ช่างแกะสลักไม้ชื่อ Frantisk Rint ได้รับมอบหมายจากขุนนางแห่งตระกูล Schwarzenberg ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นสุสาน ให้ตกแต่งห้องเก็บกระดูกใต้ดิน และโบสถ์ Frantisk Rint ก็เลยถือโอกาสแสดงฝีมือและแสดงความเป็นศิลปิน ด้วยการนำเอากระดูกมนุษย์ที่มีอยู่ในห้องเก็บกระดูก มาใช้ตกแต่งภายในโบสถ์ และห้องเก็บกระดูกใต้ดินอย่างวิจิตรพิสดาร โดยผลงานออกแบบมาสเตอร์พีช คือ โคมไฟระย้าจากกระดูกมนุษย์ ซึ่งตั้งอยู่ศูนย์กลางของห้อง....หุหุ ทำไปได้.....








Tuol Sleng Cambodia





พิพิธภัณฑ์ Tuol Sleng Genocide ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับใช้ในการกักขัง และ ทรมาณ กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลเขมรแดงในช่วงปี พ.ศ. 2518 - 2522 โดยสถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนมัธยมปลายชื่อว่า Chao Ponhea Yat มาก่อน 
Tuol Sleng เป็นเพียงแค่หนึ่งในสถานที่ที่คล้ายๆ กันกว่า 150 แห่งทั่วประเทศกัมพูชา โดยกลุ่มคนเหล่านี้เป็นพวกที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเขมรแดง ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ข้าราชการที่ปฏิบัติงานกับรัฐบาลเดิม ครู อาจารย์ นักเรียน หมอ พนักงานโรงงาน พระ วิศวกร และ อีกหลายๆ กลุ่ม...



ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีอาคารทั้ง 5 หลัง โดยแต่ละหลังได้ถูกดัดแปลงเป็นสถานที่กักขังผู้ที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็น ผู้ต่อต้านการปกครองรัฐบาลเขมรแดง และ รอบๆ ตัวอาคารได้ถูกล้อมรอบไว้ด้วยลวดหนามไฟฟ้า สถานที่แห่งนี้สามารถจุคนได้ประมาณ 1,500 คน โดยผู้คนเหล่านี้จะถูกทรมาณและฆ่าทิ้งเป็นชุดๆ ไป รวมแล้วมีผู้ที่ถูกนำมาขัง ทรมาณ และ ฆ่าทิ้งไปแล้วกว่า 20,000 ราย เฉพาะที่ Tuol Sleng ที่เดียว ถ้ารวมทั้งหมด มีผู้ที่ถูกฆ่าทิ้งในเหตุการณ์ครั้งนั้นประมาณ 1.7 ล้านคน ทั่วประเทศ แต่ที่ต้องเสียชีวิตไปเองเนื่องจากขาดอาหาร และ เป็นโรคเสียชีวิตไปด้วยก็ประมาณ 2.5 ล้านคน.... โหดงะ....




Culloden Moor Scotland



ที่นี่เป็นอดีตสมรภูมิรบครั้งสุดท้ายบนพื้นดินอังกฤษ ศึกแย่งชิงระหว่างกองกำลังของรัฐบาลและ Jacobites ผู้จงรักภักดีต่อ Bonnie Prince ชาร์ลีคัลมัวร์ถือว่ามีผีสิงที่โด่งดังมาก โดยผู้ที่เสียชีวิตในระหว่างการฆ่าอย่างบ้าเลือด ทหารผีเหล่านี้จะปรากฏในทุกๆวันที่ 16 เมษายน ซึ่งเป็นวันครบรอบปีของการต่อสู้ ผู้คนจะได้ยินเสียงร้องของความเจ็บปวดและเสียงดาบปะทะกันเหมือนดั่งสงครามั้นมันยังไม่เคยสงบลง แม้ว่าเวลาจะผ่านมายาวนานแค่ไหนก็ตาม... อั้ยยะ





Poveglia, Italy



ใน สมัยโรมัน เกิดกาฬโรคระบาดขึ้นครั้งใหญ่ ชาวโรมันในสมัยนั้นจึงได้ทำการแยกผู้ป่วยออกมาและส่งไปอยู่บนเกาะ Poveglia เพื่อไม่ให้โรคระบาดไปยังคนอื่น ผู้ป่วยบนเกาะค่อยๆ เสียชีวิตลงและถูกฝังเอาไว้บนเกาะ แต่ยังไม่จบแค่นั้น หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เกิดกาฬโรคระบาดในยุโรป เกาะนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่ติดเชื้ออีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ผู้ป่วยไม่ได้ถูกนำมาปล่อยไว้บนเกาะเฉยๆ ใครที่มีอาการหนักมากๆ จะถูกโยนลงไปในหลุม (ที่มีแต่ศพของคนที่เสียชีวิตแล้ว) และถูกเผาทั้งเป็น จากทั้งสองเหตุการณ์นี้ ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตบนเกาะ 160,000 คน...


ถ้าแค่นี้ยังสยองไม่พอ ต่อมาในปี ค.ศ.1922 โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางประสาทก็ถูกสร้างขึ้นบนเกาะแห่งนี้อีก  ในช่วงนี้เองที่มีเรื่องเล่าและข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับการทดลองและทรมานคนไข้ รวมถึงเรื่องเล่าว่ามีคนพบเจอกับวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตบนเกาะที่ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหนคอยตามหลอกหลอน
จน กระทั่งถึงปี ค.ศ.1968 โรงพยาบาลก็ปิดตัวลง และเกาะก็ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ จนถึงทุกวันนี้ก็มีนักเที่ยวเที่ยวแวะเวียนมาเยี่ยมชมกันบ้าง แต่ก็ยังไม่มีใครอาศัยอยู่บนเกาะอยู่ดี..... อันนี้สยองจริง .....ขนลุก!!




อันนี้คลิปล่าท้าผีที่เกาะครับ...





Bethnal Green Underground, London



ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สถานีรถไฟใต้ดินเบ็ธนัลกรีน เป็นหนึ่งในไม่กี่สถานี ที่ใช้เป็นที่หลบภัยเมื่อถูกทิ้งระเบิด ที่นี่มีเตียงถึง 5,000 เตียง และเวลาที่เกิดสงครามจะสามารถรองรับคนได้ถึง 7,000 คน จากการ ทิ้งระเบิดหนักของกองกำลังเยอรมัน ในวันที่ 3 มีนาคม 1943 ผู้คนในลอนดอนต่างหลบหนีเข้าไปในสถานพักพิงใต้ดินแห่งนี้ และเมื่อเสียงไซเรนการโจมตีทางอากาศดังขึ้น ก่อนที่จะประกาศการโจมตี ก็ปรากฏว่ามีผู้คนกว่า 500 คน ได้หลบอยู่ก่อนหน้าแล้วภายในสถานี พอตกช่วงเย็น ก็มีผู้คนมากกว่า 1500 คนถูกนำไปยังสถานี แถมมันก็ยังมีฝนตกในช่วงเวลานั้นอีกด้วย...



เมื่อโดนทิ้งระเบิดเสียงดังกึกก้องในเวลากลางคืน ผู้คนเริ่มที่จะตื่นตระหนก 173 คนก็ถูกฆ่าตายและส่วนใหญ่พวกเขาเสียชีวิตจากการหายใจไม่ออก โศกนาฏกรรมนี้ไม่อาจจะูถูกลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ลอนดอน จนเมื่อเวลาผ่านไป คนที่ทำงานที่นั่นยืน ยันว่าเขาได้ยินเสียงร้องของผู้คน แม้ว่าตอนนั้นเขากำลังจะกลับและไม่มีผู้ใดทำงานอยู่ภายในสถานีอีกแล้วก็ตาม นอกจากนั้น พนง.บางคนยังได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก เสียงกรีดร้องของผู้หญิง กินเวลายาวนานกว่า 10-15 นาที แม้จะออกไปสำรวจว่าต้นเสียงมาจากที่ใด ก็ยังไม่อาจจะหาได้ว่ามาจากไหน.... ยังคงหลอกหลอนผู้ที่ทำงานที่นั้นตอนดึกๆ ตราบจนถึงปัจจุบัน..... เหวออออออ





The Death Railway, Thailand



ทางรถไฟสายมรณะ หรือ ทางรถไฟสายพม่า หรือ ทางรถไฟสายกาญจนบุรี ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองทันบูซายัด ประเทศพม่าทาง รถไฟสายมรณะมีความยาวจากหนองปลาดุกถึงสถานีทันบูซายัดรวม 415 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟอยู่ในเขตประเทศไทยประมาณ 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในเขตพม่า 111.05 กิโลเมตร มีสถานีจำนวน 37 สถานี 


ทาง รถไฟสายนี้สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้แรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชียที่กองทัพญี่ปุ่น เกณฑ์มาสร้าง เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า ปัจจุบันเส้นทางนี้ไปสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิด เดินรถบนเส้นทางนี้ทุกวันและจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ - น้ำตก ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากคือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแคว และช่วงโค้งมรณะหรือถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นสะพานโค้งเลียบแม่น้ำแควน้อยยาวประมาณ 400 เมตร....


ทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรัฐบาลญี่ปุ่นขอยืมเงินจากรัฐบาลไทย จำนวน 4 ล้านบาท การก่อสร้างใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามทางรถไฟบางส่วนถูกรื้อทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ ทางรถไฟสายนี้ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้น เนื่องจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้าง เป็นของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา....


เหตุที่ทางรถไฟสายนี้ได้ชื่อว่า ทางรถไฟสายมรณะ ก็เพราะว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดาและนิวซีแลนด์ ประมาณ 61,700 คนและกรรมกรชาวชาวจีน ญวน ชวา มลายู พม่า อินเดีย อีกจำนวนมากมาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า เพื่อลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งกำลังพล เพื่อจะไปโจมตีพม่าและอินเดียต่อไป ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ 


เส้น ทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัยตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง ทางรถไฟสายนี้สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2486 และเปิดใช้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ปีเดียวกัน...


หลังสิ้นสุดสงครามรัฐบาลไทยได้จ่ายเงินจำนวน 50 ล้านบาท เพื่อซื้อทางรถไฟสายนี้จากอังกฤษ และทำการซ่อมบำรุงบางส่วนของเส้นทางดังกล่าว เพื่อเปิดการเดินรถตั้งแต่สถานีหนองปลาดุกจนถึงสถานีน้ำตก โดยอยู่ในความดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน เส้นทางรถไฟสายนี้เป็นอนุสรณ์ของโลกที่จารึกความโหดร้ายทารุณของสงครามโลก ครั้งที่ 2 และเป็นอนุสรณ์แก่ผู้เสียชีวิตในสงครามด้วย....






หลอนกันสุดๆ ต้องยกให้ในไทยเรานี่แหล่ะครับผมว่า....
เอาล่ะวันนี้ขอจบไว้เท่านี้ก่อน ไว้ติดตามกันต่อภาคต่อไปนะครับ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น